1651 จำนวนผู้เข้าชม |
บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ (INVX) เปิดมุมมองการลงทุนไตรมาส 3 ว่า แม้ตลาดหุ้นไทยจะมีความเสี่ยงขาลงจํากัด แต่ upside ก็ไม่มาก เพราะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับนานาประเทศยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญที่จะสร้างความผันผวนได้อย่างต่อเนื่อง จากนโยบายที่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้อย่างฉับพลัน ขณะที่เศรษฐกิจไทยเองก็ถูกกดดันจากปัจจัยภายในหลายประการ ทั้งความไม่แน่นอนด้านการค้า การท่องเที่ยวที่ยังชะลอตัว สถานการณ์การเมือง ความเปราะบางในภาคเกษตร หนี้ครัวเรือนในระดับสูง และการลงทุนภาคเอกชนที่ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงได้ 2 ครั้ง เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจไม่ให้ชะลอตัวมากเกินไป
สำหรับประเด็นมาตรการภาษีนำเข้าซึ่งไทยโดนบีบให้เปิดทางนำเข้าสินค้าจากอเมริกามากขึ้นนั้น หากการเจรจาสำเร็จ ทำให้อเมริกายอมปรับลดภาษีเหลือ 15-20% จะทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโตได้ 1.1-1.4% (ความน่าจะเป็น 30%) แต่หากภาษีสูงในระดับ 21-28% จะกดดันให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวไม่เกิน 1.0% (ความน่าจะเป็น 50%) และในกรณีเลวร้ายที่สุด หากต้องเผชิญภาษีสูงกว่า 29% จะเห็นเศรษฐกิจไทยติดลบได้ถึง 1.1% (ความน่าจะเป็น 20%)
ดังนั้น INVX ยังคงเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีที่ระดับ 1,250 จุด โดยแนะนำเข้าซื้อเมื่อดัชนีต่ำกว่า 1,100 จุด ส่วนกลยุทธ์ในการลงทุน เน้นคัดเลือกหุ้นรายตัว (Selective) ที่มีคุณสมบัติทั้ง 5 ข้อ ได้แก่ พื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง งบดุลเข็มแข็ง มีรายได้ที่หลากหลาย ราคาเหมาะสม และมีโอกาสรับอานิสงส์จากเมกะเทรนด์การลงทุนในประเทศ และการค้าโลกที่ฟื้นตัว ประกอบไปด้วย BCH, CPF, DIF, MTC และ SCC รวมถึงหุ้นกลุ่มธนาคาร ที่มีการคาดหมายกันว่าจะจ่ายเงินปันผลในอัตราสูงต่อเนื่อง และหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว ค้าปลีก ที่ราคาปรับฐานแรงจนมูลค่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็นเกินกว่า 20%
ส่วนการลงทุนต่างประเทศ แนะนำให้กระจายการลงทุนในหลายประเภทสินทรัพย์และภูมิภาค เพื่อกระจายความเสี่ยง รับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ทั้งจากภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายการเงิน และทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐฯ โดยให้น้ำหนักหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตมั่นคง ลดน้ำหนักลงทุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์ที่เริ่มชะลอ และแทนที่ด้วยหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการอุปโภคบริโภคในประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดจีน ซึ่งมีแรงขับเคลื่อนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเฉพาะหุ้น CATL, China Mobile, Hong Kong Exchange, SMIC, Tencent หรือ Trip.com ขณะที่หุ้นอเมริกา แนะนำ AMD, Constellation Energy, Goldman Sachs, Microsoft, Netflix และ RTX คล้ายกับหุ้นยุโรปให้น้ำหนักไปที่ BNP Paribas, Deutsche Telekom, Iberdrola, Rheinmetall, SAP หรือ Siemens รวมถึงหุ้นเวียดนาม ที่มี Valuation ที่น่าสนใจ
สำหรับทองคำ ยังคงน่าสนใจจากแรงซื้อสะสมของธนาคารกลางทั่วโลก และการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ตราสารหนี้ แนะนำลงทุนในพันธบัตรระยะสั้น ที่มี Duration น้อยกว่า 2 ปี เพราะจะมีความยืดหยุ่นและรับมือกับความเสี่ยงเงินเฟ้อได้ดีกว่าตราสารระยะยาว
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายพอร์ตต่างประเทศที่มีศักยภาพเติบโต สามารถเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวม ประกอบด้วย กองทุน UOBSG-H ที่ลงทุน SPDR Gold Shares ETF ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน กองทุน PRINCIPLE VNEQ-A กองทุนแรกของไทยที่ลงทุนหุ้นเวียดนามคุณภาพดี กองทุน LHHEALTH-A เน้นกลุ่มการแพทย์ทั่วโลกที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ราคาปรับลงอยู่ในจุดที่น่าสนใจ และกองทุน DAOL-CHINATECH ที่ชูธีมหุ้นเทคจีนชั้นนำ อย่าง Xiaomi Tencent ตลอดจน DR HSHD23 ที่ลงทุนในหุ้นจีนชั้นนำ 50 ตัว อิงดัชนี Hang Seng High Dividend Yield ปันผลสูงเฉลี่ยปีละ 6-8% สามารถตอบโจทย์ทั้งการเติบโตและป้องกันความผันผวนในระยะยาว