SAWAD พร้อมขยายสินเชื่อครึ่งปีหลังมากขึ้น หลังแรงกดดันต่างๆ คลายตัวในไตรมาส 2

1582 จำนวนผู้เข้าชม  | 

SAWAD พร้อมขยายสินเชื่อครึ่งปีหลังมากขึ้น หลังแรงกดดันต่างๆ คลายตัวในไตรมาส 2


 

 

บมจ. ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) เปิดเผยผลดำเนินงานงวดไตรมาส 2 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 1,317 ล้านบาท ใกล้เคียงช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) แต่เพิ่มขึ้น 15.7% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ดีกว่าตลาดคาด โดยกำไรที่ทรงตัว YoY เป็นไปตามกลยุทธ์การปล่อยสินเชื่ออย่างเข้มงวด และมุ่งรักษาคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ดีต่อเนื่อง ทั้งเพื่อแก้ไขปัญหาคุณภาพสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในอดีตของบริษัทลูก บมจ. ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล 1969 (SCAP) และรับมือผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแอ และมีความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัยเสี่ยง ซึ่งจะทำให้สามารถควบคุมหนี้เสีย (NPL) ได้ในกรอบ 3-4% ตามแผนที่วางไว้ ส่งผลให้พอร์ตสินเชื่อโดยรวมลดลง 8.8% มาอยู่ที่ 93,155 ล้านบาท พร้อมกับฉุดให้ผลตอบแทนจากสินเชื่อ (Yield on loan) ลดจาก 18.5% มาอยู่ที่ 17.9% และกดดันให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 11.5% มาอยู่ที่ 3,424 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้รวมลดลง 10% เป็น 4,083 ล้านบาท ตามไปด้วย

ส่วนการเติบโต QoQ ได้แรงหนุนจากความสำเร็จในการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ การสิ้นสุดโครงการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากจากสถานการณ์น้ำท่วมในไตรมาสก่อนหน้า รวมถึงการได้อานิสงค์จากผลขาดทุนจากการขายรถยึดลดลง เนื่องจากราคารถมือสองเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น และปริมาณขายรถจักรยานยนต์ของบริษัทลูกลดลง ช่วยให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง อีกทั้งมีการปล่อยสินเชื่อใหม่เพิ่มขึ้น หลักๆ มาจากสินเชื่อจำนำทะเบียน ซึ่งมีอัตรากำไรที่สูงกว่าสินเชื่อประเภทอื่น ทำให้พอร์ตสินเชื่อโดยรวมเติบโต 1.6% หนุนให้อัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) สูงขึ้น 69 Basis points ขณะที่ Yield on loan เพิ่มจาก 17.3% มาที่ 17.9% ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 2.9% และช่วยเสริมรายได้จากการขายประกันให้เติบโต 10% ทำให้รายได้รวมเพิ่มขึ้น 0.9%

อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของผลดำเนินงานไตรมาส 2 ยังไม่มีผลเชิงบวกมากพอที่จะสนับสนุนให้ผลดำเนินงานครึ่งแรกปีนี้เติบโตดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) เพราะกำไรสุทธิยังชะลอตัว 5.5% มาอยู่ที่ 2,455 ล้านบาท ตามรายได้รวมที่ลดลง 11.5% มาอยู่ที่ 8,193 ล้านบาท แต่กลับส่งสัญญาณบวก 2 ด้าน คือ ความสำเร็จในการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ที่เข้มแข็งขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการตัดหนี้สูญจากสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ที่มีปัญหาเกือบทั้งหมดแล้วในไตรมาส 2 ตลอดจนตั้งสำรองเพิ่ม เพื่อให้สอดคล้องกับภาพเศรษฐกิจที่มีความท้าทายสูง ทำให้แรงกดดันด้านค่าใช้จ่ายมีแนวโน้มผ่อนคลายมากขึ้น ดูได้จากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ที่ลดลง 6.4% จาก 1,023 ล้านบาท ในครึ่งแรกปีก่อน มาอยู่ที่ 957 ล้านบาท และผลขาดทุนจากการขายทรัพย์สินรอการขายที่ลดลงถึง 51% จาก 964 ล้านบาท ในครึ่งแรกปีก่อน เหลือ 472 ล้านบาท กับความสามารถทำกำไรที่เข้มแข็งขึ้น เมื่ออัตรากำไรสุทธิเร่งตัวขึ้น 1.4% เป็น 25.64% ทั้งจาก NIM ที่เพิ่มขึ้นตามการขยายสินเชื่อ และรายได้จากค่านายหน้าประกันภัยที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จากการเพิ่มพันธมิตรบริษัทประกันภัยให้ครอบคลุม และเพิ่มช่องทางการขายออนไลน์

ความสำเร็จที่เกิดขึ้น ทำให้นางสาวธิดา แก้วบุตตา ผู้อำนวยการกลยุทธ์องค์กร SAWAD เชื่อมั่นว่า จะเห็นการฟื้นตัวของผลดำเนินงานในครึ่งปีหลัง จากรายได้จากค่านายหน้าประกันภัยที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ต้นทุนการเงินที่ลดลง และการขยายสินเชื่อเชิงรุกมากขึ้น เน้นไปที่สินเชื่อจำนำทะเบียน สินเชื่อที่ดิน และเริ่มขยายพอร์ตไปในสินค้ากลุ่มไอทีเพิ่มเติม เพราะเป็นสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่าสอดคล้องกับเกณฑ์ความเสี่ยงที่บริษัทฯ วางไว้ รวมถึงการเดินหน้าควบคุมคุณภาพสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดแรงกดดันจากการตั้งสำรองหนี้สูญ และลดการขาดทุนจากการจำหน่ายทรัพย์สินรอการขาย ในระยะถัดไป โดยตั้งเป้าสินเชื่อทั้งปีเติบโต 5–10% และควบคุม NPL ในกรอบ 3-4%

ขณะเดียวกัน เพื่อลดต้นทุนการดำเนินงานให้ต่ำลง และเพิ่มการเข้าถึงลูกค้าได้ในวงกว้างมากขึ้น ช่วยสนับสนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นตามไปด้วย บริษัทฯ เตรียมปรับโครงสร้างสาขาที่มีประสิทธิภาพต่ำให้เหมาะสมกับปริมาณธุรกิจในพื้นที่ และหันมาเน้นกลยุทธ์สาขาออนไลน์แทนการขยายสาขาแบบดั้งเดิม ซึ่งจะจำกัดเฉพาะในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงเท่านั้น โดยมีแผนเปิดใช้แพลตฟอร์ม Mobile Lending ภายในไตรมาสสุดท้ายของปี

ความสำเร็จจากการดำเนินการแก้ไขปัญหาคุณภาพสินทรัพย์มาตลอด 1 ปี จนทำให้ SAWAD มีฐานะการเงินเข้มแข็งขึ้น และพร้อมกลับมาขยายสินเชื่ออีกครั้งในครึ่งปีหลัง ทำให้นักวิเคราะห์หลายสำนัก ทยอยปรับประมาณการกำไรสุทธิปีนี้และปีหน้าเพิ่มขึ้นจากต้นปี ประกอบกับการที่ราคาหุ้นปรับฐานลงมาค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับธุรกิจในกลุ่มเดียวกัน ส่งผลให้เริ่มมีแรงซื้อดันราคาหุ้นขึ้นมาเป็นลำดับ จน upside จากมูลค่าเหมาะสมที่ตลาดให้ไว้ในกรอบ 25-30 บาท เริ่มมีจำกัด ทำให้การลงทุนระยะสั้นจำเป็นต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น





Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้