1388 จำนวนผู้เข้าชม |
บมจ. ไทย โคโคนัท (COCOCO) ผู้ผลิต จำหน่าย และส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวรายใหญ่ของประเทศ เปิดเผยผลดำเนินงานงวดไตรมาส 2 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 77.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.94% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรก (QoQ) แต่ลดลง 65.87% จากไตรมาส 2 ปีก่อน (YoY) โดยกำไรที่หดตัวแรง YoY ได้รับแรงกดดันจากต้นทุนมะพร้าวในกลุ่มผลิตภัณฑ์กะทิที่ปรับตัวสูงขึ้น จากผลกระทบของปรากฏการณ์เอลนีโญ ฉุดให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 27.6% ในไตรมาส 2 ปีก่อน ลงมาเหลือ 17.1% ถึงแม้ยอดขายจะเติบโต 13.58% YoY เป็น 1,803.69 ล้านบาท แต่ไม่เพียงพอที่จะชดเชยการหดตัวของอัตรากำไรขั้นต้นได้ ขณะที่การเติบโต QoQ ได้แรงหนุนจากยอดขายที่เติบโตในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์กลุ่มน้ำมะพร้าว ผลักดันให้รายได้จากการขายและบริการเพิ่มขึ้น 16.33% แม้จะถูกกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นก็ตาม
การลดลงของอัตรากำไรขั้นต้น จากต้นทุนมะพร้าวที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบให้กำไรครึ่งปีแรกลดลง 67.18% จากครึ่งแรกปีก่อน มาอยู่ที่ 142.23 ล้านบาท ทั้งที่รายได้รวมยังเติบโต 12.61% ขึ้นมาที่ 3,353.82 ล้านบาท ตอกย้ำความสำเร็จในการเดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ผ่านการเข้าร่วมงานแสดงสินค้า และร่วมมือกับพันธมิตรในการสำรวจตลาด และวางแผนการตลาดที่ตอบความต้องการผู้บริโภคในแต่ละภูมิภาคได้อย่างตรงจุด ควบคู่ไปกับการรักษาสายสัมพันธ์กับลูกค้าเดิมอย่างแน่นแฟ้น ทำให้สามารถผลักดันยอดขายผลิตภัณฑ์กลุ่มกะทิ กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง รวมถึงธุรกิจใหม่ กลุ่มไอศกรีมผลไม้ ขนมไทย และอาหารพร้อมทานจากวัตถุดิบไทย ให้เติบโตเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์กลุ่มน้ำมะพร้าวที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ตามกระแสนิยมที่ยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
โอกาสนี้ ดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ COCOCO ออกมาชี้แจงเพิ่มเติมว่า แม้สถานการณ์ต้นทุนมะพร้าวจะเริ่มคลี่คลาย แต่บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการควบคุมต้นทุนราคาวัตถุดิบอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนสำรองวัตถุดิบล่วงหน้าบางส่วน การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หรือการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนแบบองค์รวม รวมถึงการลงทุนในฟิลิปปินส์ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบในต้นทุนต่ำ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนในระยะยาว เห็นผลชัดเจนตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป
สำหรับกรณีที่อเมริกาประกาศเพิ่มอัตราจัดเก็บภาษีนำเข้าจากไทยในอัตรา 19% จะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากอัตราภาษีระดับนี้อยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ ประกอบกับบริษัทฯ มีการวางแผนด้านราคาขายและโครงสร้างต้นทุนอย่างรอบคอบ พร้อมกับเดินหน้าแผนขยายตลาดใหม่อย่างต่อเนื่อง ผ่านการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ และการวางแผนการตลาดให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละภูมิภาค สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในครึ่งหลังปีนี้ พร้อมต่อยอดการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว