PCE ทำได้ตามที่พูด โชว์ผลงานไตรมาส 2 สุดแกร่ง มั่นใจรายได้ทั้งปี 3 หมื่นล้านบาท ตามเป้า

บมจ. เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ (PCE) ผู้นำอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มแบบครบวงจร ที่มีความพร้อมการจัดการระบบซัพพลายเชน เปิดเผยผลดำเนินงานงวดไตรมาส 2 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 133.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) และขยายตัว 381.1% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ขับเคลื่อนจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการที่ปริมาณผลผลิตในประเทศสูงขึ้น ทั้งจากสภาพอากาศเหมาะสม และเข้าสู่ช่วงสูงสุดของผลผลิตในรอบปี การส่งออกน้ำมันปาล์มที่เติบโตก้าวกระโดดทั้ง YoY และ QoQ เป็น 1.8 แสนตัน หลังจากไตรมาสแรกแทบไม่มีการส่งออกเลย เพราะต้องการช่วยเหลือภาครัฐแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันปาล์มในประเทศที่สูงขึ้น รวมไปถึงการส่งออกผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม อย่างน้ำมันเมล็ดในปาล์มดิบ (CPKO) น้ำมันเมล็ดในปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ (RBDPKO) และกะลาปาล์มคุณภาพสูง ซึ่งเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ หรือการเติบโตของยอดขายในประเทศ หลังการบริโภคฟื้นตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหาร ผลักดันให้รายได้จากการขายและให้บริการ เติบโต 56.7% YoY และ 105.5% QoQ มาอยู่ที่ 11,173.5 ล้านบาท ถึงแม้จะมีแรงกดดันจากความไม่แน่นอนเรื่องอัตราภาษีนำเข้าที่อเมริกาจะเรียกเก็บกับนานาชาติ ฉุดให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบทั้งในและต่างประเทศปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ต้นทุนสินค้าคงเหลือยังมีราคาสูง ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลง จาก 3.8% ในไตรมาส 2 ปีก่อน และ 4.0% ในไตรมาสแรกปีนี้ มาอยู่ที่ 2.0%   

แต่แรงกดดันดังกล่าว กลับส่งผลกระทบให้ผลดำเนินงานครึ่งแรกปีนี้ มีกำไรสุทธิลดลง 23.4% จากครึ่งแรกปีก่อน เหลือ 162.4 ล้านบาท ทั้งที่รายได้จากการขายจะเพิ่มขึ้น 28.9% มาอยู่ที่ 16,610.4 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม นายพรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล รองกรรมการผู้จัดการ สายงานกลยุทธ์และพัฒนาองค์กร PCE เชื่อมั่นว่า จะสามารถผลักดันรายได้ในครึ่งปีหลังให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และบรรลุเป้าหมายรายได้ทั้งปีแตะ 30,000 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All Time High) อย่างที่หวัง เพราะได้มีการวางแผนอย่างเป็นระบบล่วงหน้า รวมถึงมีการเตรียมความพร้อมในทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง การลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขัน ควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยงจากปัจจัยต่างๆ อย่างรัดกุม ซึ่งจะสนับสนุนให้รายได้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน เพื่อผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืน ตามเจตนารมณ์มุ่งสู่ Net Zero Pathway ตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ ตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ บริษัทฯ ได้เริ่มต้นวางแนวทางเพื่อกำหนดแผนปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรม สำหรับการก้าวเป็น Green Manufacturing และ Green Logistics ก่อนต่อยอดสู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางเรือและคลังสินค้าสีเขียว (Green Port & Green Warehouse) ให้สอดคล้องกับเป้าหมาย และการดำเนินงานในแต่ละกลุ่มธุรกิจ เพื่อให้สามารถเริ่มต้นได้ในปีนี้เลย