1814 จำนวนผู้เข้าชม |
ดร. ณัฐนัย อนันตรัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม (ITEL) ผู้นำในการให้บริการโครงข่ายไฟเบอร์ออพติกที่มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพสูงสุดครอบคลุมทั่วไทย เปิดเผยแนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลังว่า มีทิศทางสดใสกว่าครึ่งปีแรก ขับเคลื่อนจากความสำเร็จของธุรกิจให้บริการติดตั้งโครงข่าย (Data service) ที่สามารถขยายฐานลูกค้าองค์กรและภาคเอกชนได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับธุรกิจให้บริการพื้นที่ดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) ที่มีอัตราการใช้พื้นที่สูงถึง 98% สร้างรายได้ประจำที่สร้างความมั่นคงในระยะยาว เสริมเพิ่มด้วยการได้งานติดตั้งโครงข่าย (Installation) ซึ่งภาครัฐจะทยอยเปิดประมูลเพิ่มขึ้น หลังจากสะดุดลงไปในไตรมาส 2 โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ ศูนย์บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสาธารณะ เฟส 2 (USO 2) และเฟส 3 (USO 3) เพิ่มงานในมือ (Backlog) ให้สูงขึ้นจากที่มี 2,125 ล้านบาท ในครึ่งปีแรก สร้างการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง และผลักดันให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นไปสู่ระดับปกติที่ 23-25% รวมถึงการขยายฐานรายได้จากธุรกิจเทคโนโลยีการแพทย์ (Health Tech) ผ่านการขยายตลาดเครื่องมือการแพทย์ รวมถึงการเปิดศูนย์ CT Scan 3 แห่ง ในปีนี้ ประเดิมศูนย์แรกที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเริ่มต่อยอดไปถึงการให้บริการเครื่องจ่ายยาอัตโนมัติ ซึ่งจะผลักดันให้รายได้ทั้งปีเติบโต 12% จากปีก่อน เป็น 2,800 ล้านบาท ตามแผนที่วางไว้
ประการสำคัญ บริษัทฯ พร้อมขยายขอบเขตการทำธุรกิจ Cloud Implementor ไปสู่ระดับภูมิภาคอาเซียน ด้วยการจับมือพันธมิตรจากสิงคโปร์ SEAX Asia ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ SEAX Global ผู้ให้บริการโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำ ที่มีความเชี่ยวชาญในการให้บริการโครงข่ายการเชื่อมต่อแบบปรับแต่ง (Customized Connectivity Solutions) ครอบคลุมทั้งภูมิภาคอาเซียน รวมถึงการมีสิทธิในการนำสายเคเบิลใต้น้ำขึ้นฝั่งในประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เพื่อร่วมมือกันใช้ประโยชน์จากโครงข่ายการเชื่อมต่อในไทย ของ ITEL ที่มีอยู่แล้ว ไปยังโครงข่ายระดับภูมิภาคข้ามพรมแดน โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานของ SEAX Global ในสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เพื่อเสนอแก่กลุ่มลูกค้าในตลาดการให้บริการเนื้อหา หรือข้อมูลในแพลตฟอร์มที่ให้บริการสตรีมผ่านอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (Over-the-top) รวมทั้งยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและศักยภาพด้าน Hardware ที่มีอยู่ให้สามารถรองรับความต้องการและแนวโน้มเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้อย่างคล่องตัว เสริมประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจในไทยให้สูงขึ้น ช่วยยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันในระดับภูมิภาค และสนับสนุนบทบาทของประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) ในอนาคต โดยรูปแบบการดำเนินธุรกิจ จะดำเนินการผ่านบริษัทย่อย ไอเทล โกลบอล (ITEL Global)
สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ ทาง SEAX Asia จะเข้ามาร่วมลงทุนใน ITEL ด้วยการถือหุ้นในสัดส่วน 31.14% ผ่านการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) ในลักษณะขอผ่อนผันการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ โดยอาศัยมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น (Whitewash) จำนวน 628 ล้านหุ้น ที่ราคาพาร์หุ้นละ 0.50 บาท ในราคาหุ้นละ 1.61 บาท คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 1,011.08 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลดี 2 ประการ คือ การมีเงินทุนสำหรับขยายโครงข่ายสื่อสารระหว่างประเทศ และโครงข่ายสื่อสารใต้ทะเลเป็นหลัก ที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และการมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงจาก 1.01 เท่า เหลือ 0.82 เท่า ตามทุนจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้น 314 ล้านบาท เป็น 1,320.02 ล้านบาท ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม แผนขยายขอบเขตการทำธุรกิจ Cloud Implementor ไปสู่ระดับภูมิภาคอาเซียน จะต้องขอมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งจะจัดในวันจันทร์ที่ 27 ตุลาคมที่จะถึงนี้ ในรูปแบบผสมผสาน (Hybrid Meeting) จากห้องประชุมแกรนด์ อินเตอร์ลิ้งค์ ชั้น 7 อาคารอินเตอร์ลิ้งค์ ซอยรุ่งเรือง ถนนรัชดาภิเษก เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานครฯ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ไม่ได้สิทธิเข้าประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (วันขึ้นเครื่องหมาย XM) วันที่ 30 กันยายนนี้
ขณะที่ผลดำเนินงานงวดไตรมาส 2 ปี 2568 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป บริษัทฯ มีกําไรสุทธิ 3 ล้านบาท ลดลง 85% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ทั้งที่รายได้จากการดำเนินงานจะเพิ่มขึ้น 16% มาอยู่ที่ 652 ล้านบาท ถูกกดดันจากความล่าช้าในการเปิดประมูลโครงการภาครัฐ ทำให้รายได้จากกลุ่มธุรกิจให้บริการติดตั้งโครงข่าย (Installation) ที่ดำเนินการผ่านบริษัทย่อย บมจ. บลู โซลูชั่น (BLUE) ต่ำกว่าคาด อีกทั้งยังมีการตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตจากลูกค้ารายหนึ่ง 28 ล้านบาท ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 30.5% เหลือ 12.4% ทำสถิติตํ่าที่สุดในรอบ 4 ปีครึ่ง และฉุดให้อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมลดลงจาก 24.1% มาอยู่ที่ 14.6% แต่หากตัดรายการดังกล่าวออกไป บริษัทฯ จะมีกําไรปกติ 31 ล้านบาท ลดลงเพียง 1%
และแรงกดดันจากอัตรากำไรขั้นต้นที่อ่อนแอลง ส่งผลให้ผลดำเนินงานครึ่งแรกปีนี้ บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 18 ล้านบาท และกำไรปกติ 59 ล้านบาท ลดลง 87% และ 41% จากครึ่งแรกปีก่อน ทั้งที่รายได้จากการดำเนินงานจะเพิ่มขึ้น 12% มาอยู่ที่ 1,442 ล้านบาท