1434 จำนวนผู้เข้าชม |
บมจ. หลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร (KKPS) และพันธมิตร Bank of America Securities ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส ประเทศไทย (DBS Thailand) และ บล. ยูบีเอส ประเทศไทย (UBS) จัดงาน Thailand Focus 2025 : Beyond the Challenges ระหว่างวันที่ 27-29 สิงหาคมที่ผ่านมา ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและตลาดทุนไทย ทั้งในแง่นโยบายรัฐ ศักยภาพการแข่งขันของไทย โอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และนำเสนอความน่าสนใจของตลาดทุนไทย โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ และตลาดทุน ร่วมให้ข้อมูลโดยตรงให้กับผู้ลงทุนสถาบัน 180 ราย จาก 75 สถาบันทั่วโลก ทั้งสิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง ยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเชียใต้
สำหรับประเด็นสำคัญที่มีการนำเสนอในเวที Thailand Focus ปีนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ออกมายืนยันเตรียมเดินหน้าแก้ไขจุดอ่อนอย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงราว 3.5 ล้านล้านบาท กระจุกตัวในสินเชื่อบุคคล สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อเพื่อการอยู่อาศัย ที่เป็นปัจจัยฉุดรั้งกำลังซื้อภาคเอกชน ในจำนวนนี้เป็นหนี้นอกระบบสูงถึง 14% ของ GDP ทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ภาครัฐต้องปรับโครงสร้างหนี้ โดยระยะสั้นมุ่งปรับโครงสร้างหนี้ผ่านบริษัทบริหารสินทรัพย์ จัดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และใช้ข้อมูลเครดิตเชิงลึกเพื่อคัดกรองความเสี่ยง และใช้กลไกธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) ขยายการเข้าถึงบริการทางการเงิน ด้วยระบบ AI-และ Cloud-native เริ่มจากการปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบ
ขณะที่ในระยะยาว จะต้องพร้อมเร่งยกระดับผลิตภาพและรายได้ครัวเรือน ควบคู่ไปกับการมีความรู้ความเข้าใจในการกู้ยืม (Healthy Borrowing) เพื่อนำไปสู่การลงทุนสร้างสินทรัพย์ และรายได้มากกว่าการบริโภค
ในประเด็นนี้ ดร. รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) ได้เสนอทางออกในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ด้วย 2 แนวทาง แนวทางแรก คือ การเพิ่มขีดความสามารถให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ พร้อมรับมวลน้ำ NPLs มหาศาล เพื่อให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ได้ทำหน้าที่หมอหนี้อย่างเต็มที่ ช่วยให้ลูกหนี้สามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้เร็วที่สุด และแนวทางที่สอง การเพิ่มบทบาทให้บริษัทบริหารสินทรัพย์อารีย์ (ARI AMC) เป็นกลไกหลักในการรวมหนี้จากสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
ส่วนการชะลอตัวของนักท่องเที่ยว มีการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจมาเน้นความยั่งยืนเพื่อลดต้นทุน และการบริหารจัดการที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น แทนการแข่งขันด้านราคา เพื่อรักษาการเป็นจุดหมายหลักในการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ธรรมชาติ และวัฒนธรรม โดยดำเนินการควบคู่ไปกับการเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมสุขภาพไทย ให้มีโอกาสเติบโตจาก Health Tech, AI และการแพทย์บำบัดขั้นสูง โดยนำเอาจุดแข็งด้านบุคลากร และการบริการที่มีคุณภาพ แต่ยังติดข้อจำกัดด้านกฎระเบียบ เงินทุน และระบบถ่ายทอดเทคโนโลยี สร้าง Health Innovation Sandbox สร้าง S-Curve ใหม่ให้ระบบสาธารณสุขและเศรษฐกิจในอนาคต
ในทางกลับกัน มีการเน้นย้ำจุดแข็งของไทยด้านโครงสร้างพื้นฐาน ศักยภาพด้านดิจิทัล รวมถึงมาตรการจูงใจทั้งด้านภาษีและไม่ใช่ภาษี ช่วยดึงดูดให้ภาคอุตสาหกรรมหลักๆ นำโดยอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และพลังงาน ยังคงสนใจเข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตอย่างต่อเนื่อง บ่งชี้ให้เห็นถึงโอกาสเติบโตในธุรกิจ Data Center เศรษฐกิจดิจิทัล และพลังงานทางเลือก
ขณะที่ตลาดทุนไทย หน่วยงานกำกับดูแล และตลาดหลักทรัพย์ พร้อมเดินหน้าปฏิรูปมาตรฐานการเข้าจดทะเบียน และการเปิดเผยข้อมูล รวมถึงขับเคลื่อนการลงทุนด้าน ESG ขยายกองทุนออมรูปแบบใหม่ และนำเครื่องมือกำกับดูแลดิจิทัลและ AI มาเสริมเรื่องความโปร่งใส พร้อมปฏิรูปกฎหมาย เพื่อฟื้นความเชื่อมั่น และสร้างตลาดทุนที่ยั่งยืนและแข่งขันได้
ขณะเดียวกัน ยังมีการเชิญผู้บริหารระดับสูงจาก 75 บริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ ในดัชนี SET100 จากทั้ง 8 อุตสาหกรรม มาร่วมนำเสนอข้อมูลศักยภาพธุรกิจ และทิศทางการเติบโตผ่านการประชุมทั้งแบบ Group meetings และ One-on-one meetings เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นในการลงทุนในตลาดทุนไทยช่วงครึ่งปีหลัง เพราะไทยยังคงเป็นเศรษฐกิจที่สำคัญในอาเซียน อีกทั้งตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจในแง่ของผลตอบแทน ทั้งราคา (Valuation) ที่ไม่แพง และเงินปันผล (Dividend Yield) ที่จูงใจ ซึ่งทุกฝายที่ร่วมจัดงาน มั่นใจว่า จะช่วยผลักดันให้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมพลิกฟื้นในทิศทางที่สดใสขึ้น