14 จำนวนผู้เข้าชม |
นายคมกฤต รักษากุลเกียรติ หัวหน้าวาณิชธนกิจ บมจ. ธนาคารทิสโก้ (TISCO) ที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ. เงินเทอร์โบ (TURBO) เปิดเผยว่า หลังจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 537 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 20.1% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด (ในจำนวนนี้เป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ จำนวน 447.78 ล้านหุ้น ในสัดส่วน 16.8% และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยบริษัท กสิกร วิชั่น (K-Vision) ในเครือ บมจ. ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) จำนวน 89.22 ล้านหุ้น ในสัดส่วน 3.3%) ที่ราคาพาร์ หุ้นละ 0.50 บาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้บริษัทฯ เตรียมจัดโรดโชว์เพื่อนำเสนอข้อมูลบริษัทฯ เพื่อฉายภาพจุดแข็ง กลยุทธ์การเติบโต และแผนนำเงินที่ได้จากการระดมทุนมาใช้ขยายธุรกิจให้บริการการเงินของกลุ่มบริษัทฯ เพื่อยกระดับขึ้นเป็นผู้ให้บริการทางการเงินรายย่อยชั้นนำระดับประเทศ ในวันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายนนี้ ก่อนเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หมวดไฟแนนซ์ ในเร็วๆ นี้
ขณะที่นายสุธัช เรืองสุทธิภาพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TURBO ชี้แจงว่า กลุ่มบริษัทฯ ทำธุรกิจ 3 ประเภท ประกอบด้วย ธุรกิจสินเชื่อ ครอบคลุมทั้งสินเชื่อจำนำทะเบียน สินเชื่อโฉนดที่ดิน และสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ รวมถึงธุรกิจนายหน้าประกันภัยและนายหน้าประกันชีวิต และธุรกิจจำหน่ายสินค้าเงินสดและเงินผ่อน เน้นให้บริการทางการเงินแก่ประชาชนที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ หรือสามารถเข้าถึงแต่ได้รับบริการที่ไม่ครบถ้วน ผ่านสาขา 996 แห่ง ครอบคลุม 54 จังหวัดทั่วประเทศ โดยอาศัยจุดแข็งจากการมีฝ่ายเทคโนโลยีที่ใหญ่และมีศักยภาพ คอยทำหน้าที่จัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล บริหารความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีการปรับปรุงฐานข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถปรับกลยุทธ์ได้อย่างทันท่วงที ช่วยให้ลูกค้าได้รับบริการที่ตอบโจทย์ สะดวก และรวดเร็ว สร้างความประทับใจจนเกิดการบอกต่อ ส่งผลให้สัดส่วนลูกค้าที่มาจากการแนะนำบอกต่อสูงถึง 20%
นอกจากนี้ การพัฒนาระบบเทคโนโลยีให้มีความเหมาะสมกับวฺิธีการทำงานอย่างต่อเนื่อง ยังส่งผลดีให้บริษัทฯ สามารถรักษาต้นทุนให้อยู่ในระดับต่ำได้ในระยะยาว เห็นได้จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อสาขาของกลุ่มบริษัทฯ อยู่ที่ 1.3 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม ซึ่งอยู่ที่ 2.3 ล้านบาท รวมถึงสามารถควบคุมคุณภาพหนี้ได้ในระดับที่เหมาะสม ส่งผลให้สัดส่วนรายได้รวมหักค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อลูกหนี้เงินให้กู้ยืมสุทธิ เฉลี่ยอยู่ในระดับสูงที่สุดในอุตสาหกรรมที่ 21.8% และมีอัตราดอกเบี้ยรับ (Yield on Loan) ที่ 24.2% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่ทำได้ 17.5% ช่วยผลักดันให้ผลดำเนินงานเติบโตก้าวกระโดด ตามพอร์ตสินเชื่อที่ขยายตัว จาก 3,282 ล้านบาท ในปี 2563 ขึ้นมาเป็น 11,263 ล้านบาท ในครึ่งแรกปี 2568 นี้
สำหรับสัดส่วนรายได้ล่าสุด มาจากสินเชื่อจำนำทะเบียนเป็นหลัก รองลงไปเป็นสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ โดยมีสัดส่วนรายได้ที่ 58% และ 23% ของรายได้รวม ตามลำดับ ขณะที่ธุรกิจจำหน่ายสินค้าเงินสดและเงินผ่อน หลักๆ มาจากเครื่องใช้ไฟฟ้า หยุดดำเนินการชั่วคราว แต่มีแผนจะเปิดดำเนินการอีกครั้งในปี 2570
ส่วนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพราะกลุ่มบริษัทฯ วางแผนนำเงินที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้น IPO ไปใช้ขยายช่องทางการเสนอขายผลิตภัณฑ์สินเชื่อ นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายขึ้น และขยายพอร์ตโฟลิโอสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังจะช่วยสนับสนุนภาพลักษณ์ของกลุ่มบริษัทฯ รวมทั้งช่วยให้กลุ่มบริษัทฯ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีความหลากหลาย ในต้นทุนที่ต่ำกว่าเดิมได้