450 จำนวนผู้เข้าชม |
หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการ บมจ. เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) มีมติเห็นชอบที่จะขายธุรกิจห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต (Rinascente) 9 สาขา ในอิตาลี ให้กับบริษัท ห้างเซ็นทรัลดีพาทเมนท์สโตร์ (HCDS) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ คิดเป็นมูลค่ารวม 391 ล้านยูโร (ประมาณ 1.47 หมื่นล้านบาท) แบ่งเป็นค่าหุ้น 250 ล้านยูโร (ราว 9.4 พันล้านบาท) และการโอนหนี้ 141 ล้านยูโร (ราว 5.3 พันล้านบาท) เพื่อถอนตัวจากการทำธุรกิจห้างสรรพสินค้าในยุโรปที่มีอัตราการขยายตัวในระดับต่ำ และหันมาเน้นขยายการลงทุนในไทย และภูมิภาคอาเซียน ซึ่งมีศักยภาพการเติบโตสูงอย่างเต็มตัว สร้างโอกาสเติบโตทางธุรกิจให้แข็งแกร่งมากขึ้น นำร่องด้วยการเร่งขยายธุรกิจในเวียดนาม ผ่านการดำเนินโครงการอสังหาริมทรัพย์ ไฮเปอร์มาร์เก็ต และธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็ก พร้อมกับสนับสนุนให้ HCDS สามารถสร้าง synergy จากการมีเครือขายสาขาห้างสรรพสินค้ากระจายทั่วยโรป ยกระดับสู่การเป็นผู้นำธุรกิจห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ มีแผนนำเงินสดที่ได้จากการขายกิจการ Rinascente หลังหักภาษีมูลค่ารวม 1.3 หมื่นล้านบาท ไปชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน 5.3 พันล้านบาท เพิ่มความเข้มแข็งทางการเงิน ที่เหลือ 7.7 พันล้านบาท เตรียมนำไปจ่ายเป็นเงินปันผลพิเศษให้กับผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 1.28 บาท แต่แบ่งจ่ายเป็น 2 งวด งวดแรก ในอัตราหุ้นละ 0.70 บาท หลังจากธุรกรรมเสร็จสิ้น คาดว่าจะเกิดในเดือนธันวาคมปีนี้ หากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 6 พฤศจิกายนนี้ มีมติอนุมัติตามที่คณะกรรมการบริษัทฯ เสนอ (ด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 75% โดยตัดเสียงจากกลุ่ม HDCS ซึ่งเป็นผู้เกี่ยวข้องออกไป) และงวดที่สอง ในอัตราหุ้นละ 0.58 บาท กำหนดจ่ายพร้อมเงินปันผลปกติจากผลดำเนินงานปี 2568
ประการสำคัญ CRC ได้ยืนยันด้วยว่า การตั้งราคาขายกิจการครั้งนี้มีความสมเหตุสมผล เพราะใกล้เคียงกับคู่แข่งอื่นๆ ในประเทศพัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะพิจารณาจากอัตราส่วนเปรียบเทียบมูลค่ากิจการ กับกำไรก่อนจ่ายดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EV/EBITDA) ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินงาน หรือการคิดมูลค่าจากกระแสเงินสด (Discount Cashflow) หรือการเปรียบเทียบอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ซึ่งอยู่ที่ 11 เท่า ใกล้เคียงกับคู่แข่งอื่นๆ ในประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งมี P/E ที่ 12-13 เท่า
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ส่วนใหญ่ตีความการไม่มีส่วนแบ่งกำไรจาก Rinascente ว่า จะกดดันให้กำไรระยะสั้นของ CRC ลดลง 7-10% เห็นผลทันทีปี 2569 เป็นต้นไป เนื่องจากอัตรากําไรสุทธิของ Rinacente สูงกว่าที่ CRC ทำได้ราว 1.2% ถึงแม้จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยให้ลดลง อีกทั้งผลดำเนินงานยังสามารถชดเชยได้บางส่วน จากส่วนแบ่งกำไรที่เกิดจากการขยายธุรกิจในเวียดนาม ที่คาดว่าจะค่อยๆ เติบโตในระยะกลาง รวมถึงคำยืนยันของผู้บริหารว่า พร้อมหาทางต่อยอดการเติบโตเพิ่มเติมผ่านการซื้อกิจการ แต่ยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนในการทดแทนส่วนของกำไรระยะสั้นที่หายไป ส่งผลให้นักลงทุนหันมาเทขายหุ้นหลังทราบข่าวอย่างหนาแน่น ฉุดราคาหุ้น CRC อ่อนตัววันเดียวเกือบ 9% จากที่แกว่งตัวบริเวณ 24 บาท ลงมาแกว่งบริเวณ 21-22 บาท