1761 จำนวนผู้เข้าชม |
นายอมร พิริยะแพทย์สม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เซจแคปปิตอล (Sage Capital) ที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ. แอตลาส เอ็นเนอยี (ATLAS) เปิดเผยว่า พร้อมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 418.42 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 29.5% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมด ที่ราคาหุ้นละ 3 บาท จากราคาพาร์ หุ้นละ 0.50 บาท ระหว่างวันที่ 7– 10 ตุลาคมนี้ ผ่านบริษัทฯ และผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 8 ราย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส (ASPS) บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก (GBS) บมจ. หลักทรัพย์ บียอนด์ (BYD) บมจ. หลักทรัพย์ บัวหลวง (BLS) บมจ. หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย (CGSI) บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า ประเทศไทย (YUANTA) และ บมจ. ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย (CIMBT) คาดว่า จะเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันที่ 20 ตุลาคมนี้
ด้านนางสาวพัชพร สรรคบุรานุรักษ์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 1 บมจ. หลักทรัพย์ เคจีไอ ประเทศไทย (KGI) ซึ่งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้น ชี้แจงถึงการตั้งราคา IPO ว่า ใช้วิธีอัตราส่วนราคาต่อหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) โดยพิจารณาจากกำไรสุทธิย้อนหลัง 4 ไตรมาสล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ซึ่งอยู่ที่ 15.83 เท่า ถือได้ว่าสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน และศักยภาพการเติบโตในธุรกิจค้าปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ที่โดดเด่น ทั้งโมเดลธุรกิจแบบ COCO (Company Owned Company Operated) การมีเครือข่ายของบริษัทแม่ บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) ช่วยสนับสนุนธุรกิจ ส่งผลให้บริษัทฯ ก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาด LPG ภาคขนส่ง และมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังมีช่องทางการหารายได้จากการให้บริการสื่อโฆษณาบนรถแท็กซี่ (Taxi Ads) ซึ่งแตกต่างจากคู่แข่งในอุตสาหกรรม ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 14% เทียบกับค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงที่อยู่เพียง 3-5%
และมีโอกาสจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ขยายธุรกิจ ครอบคลุมทั้งภาคขนส่ง ภาคครัวเรือน และภาคอุตสาหกรรม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ทั้งการบริหารจัดการต้นทุน การพัฒนาเทคโนโลยีเพิ่มการเข้าถึงลูกค้าในยุคดิจิทัล และการขยายฐานรายได้ สอดคล้องกับแผนขยายฐานลูกค้าทั้งในประเทศ และการขยายตลาดประเทศเพื่อนบ้าน (CLMV) เห็นผลตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป ทำให้เชื่อมั่นว่า นักลงทุนจะให้การตอบรับเป็นอย่างดี
ขณะที่นายสุวัชชัย พิทักษ์วงศาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ ATLAS เสริมว่า การระดมทุนครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการทำธุรกิจ LPG ครบวงจร ได้ครอบคลุมมากขึ้น ผ่านการขยายสถานีบริการก๊าซ LPG เพิ่ม 28 สาขา รีโนเวทสถานีบริการเดิมให้ดีขึ้น และลงทุนในโครงการ PT Auto Transform เพื่อสนับสนุนผู้ใช้รถยนต์ และผู้ขับขี่รถแท๊กซี่ ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง ให้เปลี่ยนมาติดตั้งอุปกรณ์เพื่อใช้ก๊าซ LPG (สำหรับภาคขนส่ง) การเพิ่มโรงบรรจุก๊าซหุงต้ม 5 แห่ง ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ซึ่งยังไม่มีโรงบรรจุก๊าซ พร้อมกับเพิ่มถังบรรจุก๊าซหุงต้ม และขยายร้านจำหน่ายก๊าซเพิ่มอีก 200 แห่ง (สำหรับภาคครัวเรือน) และการลงทุนอุปกรณ์จัดเก็บก๊าซ และระบบท่อลำเลียงก๊าซ LPG (สำหรับภาคอุตสาหกรรม) พร้อมกับพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถเติบโตก้าวกระโดดในระยะสั้น และเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
พร้อมกันนี้ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุน ผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทฯ คือ PTG ได้ทำสัญญา Lock-up หุ้นทั้งหมดเป็นระยะเวลา 1 ปี หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อประกาศเจตนารมณ์ที่ชัดเจนว่า มีความเชื่อมั่นในโอกาสการเติบโตของบริษัทลูก และพร้อมเติบโตเคียงคู่ไปด้วยกัน
สำหรับผลดำเนินงาน 3 ปีล่าสุด (ปี 2564-66) ATLAS มีการเติบโตของรายได้จากการขายและให้บริการอย่างต่อเนื่อง จาก 6,829.1 ล้านบาท เพิ่มเป็น 9,576.8 ล้านบาท และ 11,023.7 ล้านบาท ตามแผนขยายสถานีบริการก๊าซ LPG และร้านจำหน่ายก๊าซหุงต้ม ทำให้ปริมาณการจำหน่ายก๊าซ LPG เร่งตัวขึ้นเป็นลำดับ จาก 268.6 ล้านกิโลกรัม เพิ่มเป็น 343.0 ล้านกิโลกรัม และ 391.4 ล้านกิโลกรัม ตามลำดับ โดยสัดส่วนรายได้กว่า 95% จะมาจากรายได้จากการขายและให้บริการก๊าซ LPG (แบ่งเป็นภาคขนส่ง 61-62% ตามมาด้วยภาคครัวเรือน 18-19% อีก 6-7% มาจากภาคอุตสาหกรรม) ที่เหลือมาจากรายได้จากการให้เช่าสินทรัพย์และบริการอื่น อย่างไรก็ตาม การลงทุนขยายสถานีบริการก๊าซ LPG และร้านจำหน่ายก๊าซหุงต้ม ทำให้ต้นทุนขาย และค่าใช้จ่ายในการขายและบริการสูงขึ้นตามไปด้วย จึงกดดันให้กำไรสุทธิมีความผันผวนในบางปี จากที่มีกำไรสุทธิ 314.2 ล้านบาท ในปี 2565 ลดลงมาที่ 232.4 ล้านบาท ก่อนเพิ่มเป็น 285.2 ล้านบาท ในปี 2566 และปี 2567 ตามลำดับ
ขณะที่ผลดำเนินงานงวดครึ่งแรกปีนี้ บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 155.7 ล้านบาท เติบโต 36.44% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามปริมาณการจำหน่ายก๊าซ LPG ที่เพิ่มขึ้น 11.86% มาอยู่ที่ 209.3 ล้านกิโลกรัม หนุนให้รายได้จากการขายและให้บริการเติบโต 12.12% มาอยู่ที่ 5,935.8 ล้านบาท สามารถครองความเป็นผู้นำตลาด LPG ภาคขนส่งได้ต่อเนื่อง ด้วยส่วนแบ่งตลาด 31.1% และรักษาส่วนแบ่งตลาดในอุตสาหกรรม LPG ของประเทศ ในอันดับที่ 4 ได้เช่นเคย ด้วยปริมาณการจำหน่ายรวม 205.6 ล้านกิโลกรัม จากปริมาณการจำหน่ายรวมทั้งประเทศที่ 1,844.5 ล้านกิโลกรัม หรือมีส่วนแบ่งตลาด 11%