1932 จำนวนผู้เข้าชม |
หลังจาก บมจ. แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป (LHFG) เปิดเผยผลดําเนินงานปี 2567 มีกําไรสุทธิ 2,047.0 ล้านบาท ลดลง 2.4% จากปี 2566 ที่มีกําไรสุทธิ 2,096.3 ล้านบาท หลักๆ มาจากธุรกิจหลักทรัพย์ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 51 ล้านบาท ตามบรรยากาศการลงทุนที่ซบเซา ขาดปัจจัยบวก ไม่มีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ ฉุดให้ตลาดปรับฐาน 2 ปีติดต่อกัน (เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ทศวรรษ) และกดดันให้รายได้จากเงินปันผล และกําไรจากเงินลงทุนลดลง ส่งผลให้รายได้จากการดำเนินงานลดลง 6.8% จากปี 2566 ที่ทำได้ 8,795.3 ล้านบาท มาอยู่ที่ 8,201.5 ล้านบาท ทั้งที่ผลดําเนินงานของธุรกิจธนาคารจะปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนหน้า
ล่าสุด นายฉี ชิง ฟู่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บมจ. ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH Bank) ซึ่งเป็นช่องทางสร้างรายได้ให้กับ LHFG ในสัดส่วนสูงกว่า 90% ชี้แจงแผนดำเนินงานปี 2568 ว่า พร้อมเดินหน้าผลักดันผลดำเนินงานให้เติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน ที่ธนาคารมีกำไรสุทธิ 2,010 ล้านบาท ขยายตัว 18.7% จากปี 2566 และสามารถควบคุมหนี้เสีย (NPL) ได้ที่ 2.34% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 2.9% อีกทั้งมีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงโควิด จนมี coverage ratio สูงถึง 214% ด้วยการขยายธุรกิจเชิงรุกมากขึ้น โดยตั้งเป้าขยายพอร์ตสินเชื่อเติบโต 7-8% จากที่เติบโต 6.6% ในปีก่อน แต่เพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ และควบคุม NPL ให้ต่ำกว่า 3% ธนาคารจะขยายสินเชื่อแบบระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง
โดยพอร์ตสินเชื่อลูกค้ารายย่อย ยังคงให้น้ำหนักกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย แต่ปรับกลยุทธ์มาเน้นตลาดบนที่มีกำลังซื้อบ้านระดับราคา 20-50 ล้านบาท มากขึ้น จากเดิมที่พุ่งเป้าไปที่กลุ่มลูกค้าที่ซื้อบ้านระดับราคา 3-20 ล้านบาทเป็นหลัก โดยตั้งเป้าสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั้งปี เติบโตจากปีก่อน 12% ส่วนพอร์ตสินเชื่อธุรกิจ พร้อมเดินหน้าขยายฐานลูกค้ารายใหญ่ และกลุ่มเอสเอ็มอีทั้งที่เป็นคนไทย และไต้หวัน เน้นไปที่กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพ โดยตั้งเป้าขยายสินเชื่อเอสเอ็มอีเพิ่มจากปีก่อน 16% เพื่อสร้างการเติบโตของรายได้จากดอกเบี้ย รวมถึงรายได้จากบริการ Trade Finance ขณะเดียวกัน พร้อมให้การสนับสนุนสินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อม และสินเชื่อเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจสีเขียว ตามหลักการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainable Banking) มากขึ้นด้วย
ขณะเดียวกัน เพื่อรักษาฐานลูกค้ารายย่อย และขยายฐานลูกค้าใหม่ให้เติบโตเป็น 2 เลขหลัก ซึ่งจะช่วยต่อยอดธุรกิจหลักทรัพย์ และกองทุนรวม เพิ่มเติมในระยะต่อไป ตลอดจนช่วยเพิ่มขีดความสามารถการบริหารอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ให้อยู่ที่ 2.2-2.3% ใกล้เคียงปีก่อน ธนาคารจะยกระดับการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้บริการทางการเงินได้อย่างสะดวกสบาย ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเพิ่มช่องทางการให้บริการแก่ลูกค้าในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นศูนย์กลางการลงทุน และอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ ด้วยการเปิดสาขาอมตะซิตี้ ชลบุรี ช่วงต้นไตรมาส 2 นี้
ด้านนายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH Fund) เสริมถึงแผนธุรกิจด้านกองทุนรวมว่า พร้อมก้าวสู่การเป็นกองทุนรวมแถวหน้าที่มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) สูงขึ้นเป็นลำดับ จากการมุ่งมั่น คิดค้น และคัดสรรกองทุนที่สามารถสร้างผลดำเนินงานระดับยอดเยี่ยม (Best-in-Class) สามารถตอบโจทย์นักลงทุนในทุกสภาวะตลาด ไม่ว่าจะเป็นโจทย์โลกยุคเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) หรือการเปลี่ยนแปลงจากเศรษฐกิจแบบโลกาภิวัตน์สู่ระบบเศรษฐกิจหลายขั้ว (Multi-polar Model) ทั้งกองทุนรูปแบบ Feeder Fund และกองทุนที่ลงทุนตรงในหุ้นต่างประเทศ ตลอดจนเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ด้วยกองทุนที่เชื่อมโยงกับดัชนีความผันผวน (Volatility Index) ในทุกสถานการณ์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
สำหรับกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) มีแผนเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินสร้างการเติบโตทั้งจากภายใน (Organic Growth) และภายนอก (Inorganic Growth) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่นักลงทุนอย่างยั่งยืน ขณะที่กองทุนส่วนบุคคล จะขยายฐานลูกค้าด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการการลงทุนที่ตอบโจทย์เฉพาะราย คล้ายกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่มีการพัฒนาระบบ Life Path ช่วยปรับพอร์ตการลงทุนของสมาชิกโดยอัตโนมัติตลอดระยะเวลาการเป็นสมาชิก
ส่วนนายกานต์ อรรถธรรมสุนทร กรรมการผู้อำนวยการ บมจ. หลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LHS) บอกว่า การที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปีนี้มีโอกาสผันผวนสูงมากขึ้น ทำให้บริษัทฯ พร้อมหันมาเน้นสร้างรายได้จากธุรกิจอื่นที่มิใช่รายได้จากค่านายหน้าในการซื้อขายหุ้นให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรายได้ดอกเบี้ยจาก Margin Loan รายได้จากเงินปันผลรับ รายได้จากค่าธรรมเนียมการจำหน่ายหุ้นกู้ และหุ้น IPO หรือรายได้จากการเป็นที่ปรึกษาการลงทุน ควบคู่ไปกับการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
แม้ธุรกิจหลักทรัพย์จะเป็นตัวฉุดให้ผลดำเนินงานปี 2567 ของ LHFG ลดลงจากปีก่อนหน้า แต่บริษัทฯ ยังคงจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.03 บาท เท่ากับปี 2566 กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (วันขึ้น XD) 28 เมษายนนี้ และกำหนดจ่ายเงินปันผล วันที่ 16 พฤษภาคม