LH Bank ชูธงปล่อยสินเชื่อโต 7-8% คุม NPL ต่ำ 3% ดันกำไร LHFG ปี 2568 โต

1933 จำนวนผู้เข้าชม  | 

LH Bank ชูธงปล่อยสินเชื่อโต 7-8% คุม NPL ต่ำ 3% ดันกำไร LHFG ปี 2568 โต




หลังจาก บมจ. แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป (LHFG) เปิดเผยผลดําเนินงานปี 2567 มีกําไรสุทธิ 2,047.0 ล้านบาท ลดลง 2.4% จากปี 2566 ที่มีกําไรสุทธิ 2,096.3 ล้านบาท หลักๆ มาจากธุรกิจหลักทรัพย์ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 51 ล้านบาท ตามบรรยากาศการลงทุนที่ซบเซา ขาดปัจจัยบวก ไม่มีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ ฉุดให้ตลาดปรับฐาน 2 ปีติดต่อกัน (เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ทศวรรษ) และกดดันให้รายได้จากเงินปันผล และกําไรจากเงินลงทุนลดลง ส่งผลให้รายได้จากการดำเนินงานลดลง 6.8% จากปี 2566 ที่ทำได้ 8,795.3 ล้านบาท มาอยู่ที่ 8,201.5 ล้านบาท ทั้งที่ผลดําเนินงานของธุรกิจธนาคารจะปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนหน้า

ล่าสุด นายฉี ชิง ฟู่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บมจ. ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH Bank) ซึ่งเป็นช่องทางสร้างรายได้ให้กับ LHFG ในสัดส่วนสูงกว่า 90% ชี้แจงแผนดำเนินงานปี 2568 ว่า พร้อมเดินหน้าผลักดันผลดำเนินงานให้เติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน ที่ธนาคารมีกำไรสุทธิ 2,010 ล้านบาท ขยายตัว 18.7% จากปี 2566 และสามารถควบคุมหนี้เสีย (NPL) ได้ที่ 2.34% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 2.9% อีกทั้งมีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงโควิด จนมี coverage ratio สูงถึง 214% ด้วยการขยายธุรกิจเชิงรุกมากขึ้น โดยตั้งเป้าขยายพอร์ตสินเชื่อเติบโต 7-8% จากที่เติบโต 6.6% ในปีก่อน แต่เพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ และควบคุม NPL ให้ต่ำกว่า 3% ธนาคารจะขยายสินเชื่อแบบระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง

โดยพอร์ตสินเชื่อลูกค้ารายย่อย ยังคงให้น้ำหนักกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย แต่ปรับกลยุทธ์มาเน้นตลาดบนที่มีกำลังซื้อบ้านระดับราคา 20-50 ล้านบาท มากขึ้น จากเดิมที่พุ่งเป้าไปที่กลุ่มลูกค้าที่ซื้อบ้านระดับราคา 3-20 ล้านบาทเป็นหลัก โดยตั้งเป้าสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั้งปี เติบโตจากปีก่อน 12% ส่วนพอร์ตสินเชื่อธุรกิจ พร้อมเดินหน้าขยายฐานลูกค้ารายใหญ่ และกลุ่มเอสเอ็มอีทั้งที่เป็นคนไทย และไต้หวัน เน้นไปที่กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพ โดยตั้งเป้าขยายสินเชื่อเอสเอ็มอีเพิ่มจากปีก่อน 16% เพื่อสร้างการเติบโตของรายได้จากดอกเบี้ย รวมถึงรายได้จากบริการ Trade Finance ขณะเดียวกัน พร้อมให้การสนับสนุนสินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อม และสินเชื่อเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจสีเขียว ตามหลักการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainable Banking) มากขึ้นด้วย  

ขณะเดียวกัน เพื่อรักษาฐานลูกค้ารายย่อย และขยายฐานลูกค้าใหม่ให้เติบโตเป็น 2 เลขหลัก ซึ่งจะช่วยต่อยอดธุรกิจหลักทรัพย์ และกองทุนรวม เพิ่มเติมในระยะต่อไป ตลอดจนช่วยเพิ่มขีดความสามารถการบริหารอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ให้อยู่ที่ 2.2-2.3% ใกล้เคียงปีก่อน ธนาคารจะยกระดับการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้บริการทางการเงินได้อย่างสะดวกสบาย ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเพิ่มช่องทางการให้บริการแก่ลูกค้าในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นศูนย์กลางการลงทุน และอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ ด้วยการเปิดสาขาอมตะซิตี้ ชลบุรี ช่วงต้นไตรมาส 2 นี้

 

 

 

 



ด้านนายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH Fund) เสริมถึงแผนธุรกิจด้านกองทุนรวมว่า พร้อมก้าวสู่การเป็นกองทุนรวมแถวหน้าที่มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) สูงขึ้นเป็นลำดับ จากการมุ่งมั่น คิดค้น และคัดสรรกองทุนที่สามารถสร้างผลดำเนินงานระดับยอดเยี่ยม (Best-in-Class) สามารถตอบโจทย์นักลงทุนในทุกสภาวะตลาด ไม่ว่าจะเป็นโจทย์โลกยุคเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) หรือการเปลี่ยนแปลงจากเศรษฐกิจแบบโลกาภิวัตน์สู่ระบบเศรษฐกิจหลายขั้ว (Multi-polar Model) ทั้งกองทุนรูปแบบ Feeder Fund และกองทุนที่ลงทุนตรงในหุ้นต่างประเทศ ตลอดจนเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ด้วยกองทุนที่เชื่อมโยงกับดัชนีความผันผวน (Volatility Index) ในทุกสถานการณ์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

สำหรับกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) มีแผนเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินสร้างการเติบโตทั้งจากภายใน (Organic Growth) และภายนอก (Inorganic Growth) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่นักลงทุนอย่างยั่งยืน ขณะที่กองทุนส่วนบุคคล จะขยายฐานลูกค้าด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการการลงทุนที่ตอบโจทย์เฉพาะราย คล้ายกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่มีการพัฒนาระบบ Life Path ช่วยปรับพอร์ตการลงทุนของสมาชิกโดยอัตโนมัติตลอดระยะเวลาการเป็นสมาชิก 

ส่วนนายกานต์ อรรถธรรมสุนทร กรรมการผู้อำนวยการ บมจ. หลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LHS) บอกว่า การที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปีนี้มีโอกาสผันผวนสูงมากขึ้น ทำให้บริษัทฯ พร้อมหันมาเน้นสร้างรายได้จากธุรกิจอื่นที่มิใช่รายได้จากค่านายหน้าในการซื้อขายหุ้นให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรายได้ดอกเบี้ยจาก Margin Loan รายได้จากเงินปันผลรับ รายได้จากค่าธรรมเนียมการจำหน่ายหุ้นกู้ และหุ้น IPO หรือรายได้จากการเป็นที่ปรึกษาการลงทุน ควบคู่ไปกับการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

แม้ธุรกิจหลักทรัพย์จะเป็นตัวฉุดให้ผลดำเนินงานปี 2567 ของ LHFG ลดลงจากปีก่อนหน้า แต่บริษัทฯ ยังคงจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.03 บาท เท่ากับปี 2566 กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (วันขึ้น XD) 28 เมษายนนี้ และกำหนดจ่ายเงินปันผล วันที่ 16 พฤษภาคม

 

 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้